วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

คำถามที่พบบ่อยและแนวคำตอบ

6. คำถามที่พบบ่อยและแนวคำตอบ
ในการประกาศข่าวประเสริฐ โดยเฉพาะการเป็นพยานส่วนตัว บ่อยครั้งที่เราต้องพบกับคำถามที่คนไม่เป็นคริสเตียนมักถามหรือโต้แย้งเราอยู่เสมอ คำถามเหล่านั้นหากเราตอบได้ ก็จะเป็นที่พอใจแก่เขา แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็จะเป็นสิ่งที่เขาใช้เพื่อปฏิเสธความเชื่อเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้นเราจึงควรเข้าใจว่าเราควรตอบคำถามเหล่านั้นอย่างไร คำถามที่ถามกันอยู่มักจะซํ้าๆกันต่อไปนี้คือ คำถามที่พบบ่อยและแนวคำตอบ
รู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง เคยเห็นหรือ?
คนเรามักคุ้นเคยกับการพิสูจน์อะไรโดยต้องได้เห็นด้วยตา หรือด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) แต่เนื่องจากพระเจ้ามิได้ทรงเป็นวัตถุสิ่งของ หรือมีเลือดเนื้อแบบมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเป็นวิญญาณ เราจึงไม่อาจรับรู้พระองค์โดยอาศัยการมองเห็นด้วยตาหรือประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ แต่เรายังสามารถแน่ใจว่าพระองค์มีจริงโดยอาศัยหลักฐานหลายประการ ได้แก่ 
1. ความเป็นระเบียบอย่างอัศจรรย์ของธรรมชาติบ่งชี้ถึงพระเจ้า ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์ในยุคอดีตจนถึงปัจจุบันรู้สึกได้ว่ามีพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเราสังเกตดูธรรมชาติทั้งในโลกและในจักรวาล จะพบว่ามีความเป็นระบบระเบียบสอดคล้องกลมกลืนกันอย่างน่าอัศจรรย์ จนทำให้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกหลายท่านได้แต่พิศวงและเกิดข้อสงสัยขึ้นมาในใจว่าสิ่งต่างๆในธรรมชาติ ซึ่งมีความเป็นระบบระเบียบกลมกลืนกันอย่างพี่จะบังเอิญเกิดขึ้นมาเองได้อย่างไร น่าจะมีผู้ที่ออกแบบสร้างสรรค์ไว้มากกว่า
ตัวอย่างเช่น ความมหัศจรรย์ของเซลล์สิ่งมีชีวิต เซลล์เกิดมาจากการรวมตัวอย่างซับช้อนของโปรตีนชนิดต่างๆ และโอกาสที่โปรตีนเหล่านี้จะมารวมตัวกันอย่างพอดี จนกระทั่งเกิดเป็นเซลล์ สิ่งมีชีวิตนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญได้คือ มีโอกาสเกิดขึ้น เพียง 1 ใน 50,000,000,000,000,000,000 (หนึ่งในห้าสิบล้านล้านล้าน) เท่านั้น
ความมหัศจรรย์ที่โอโซนซึ่งหุ้มห่อโลกนี้มีความหนาพอดิบพอดี หากหนากว่านี้เราจะหนาวตายหมด หากบางกว่านี้เราจะถูกแสงอุลตร้าไวโอเล็ตซึ่งทำให้มีชีวิตอยู่ในโลกไม่ได้ โอโซนหนาพอดีสำหรับเป็นเครื่องกรองแสงอย่างดี ความมหัศจรรย์ของการก่อตัวของทารกในครรภ์มารดา เริ่มจากไข่ที่ปฏิสนธิ
แล้วและพัฒนาไปเรื่อยๆ สู่สภาพการเป็นร่างกายคนอย่างสมบูรณ์ การที่เซลล์ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ให้มีอวัยวะเป็นรูปร่างเหมาะสม ความอัศจรรย์ของพันธุกรรมมนุษย์ที่ได้รับโครโมโซม 23 โครโมโซมจากทั้งพ่อและแม่ อีกทั้งยังอัศจรรย์ที่พระเจ้าได้วางแผนการให้ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะถูกขับออกจากร่างกายมารดาโดยวิธีพิเศษ ความมหัศจรรย์ของลายนิ้วมือของมนุษย์แต่ละคนที่ไม่เหมือนกันเลย ฯลฯ
ถ้าเราเดินเข้าไปในป่า แล้วไปพบนาฬิกาเรือนหนึ่งอยู่บนพื้น เราจะคิดว่านาฬิกาเรือนนั้นบังเอิญเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือไม่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้เป็นสิ่งอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ข้อสังเกตที่ได้เช่นนี้ชี้ให้มนุษย์เราตระหนักว่า โลกและจักรวาลนี้น่าจะมีผู้สร้าง และบุคคลผู้นั้นน่าจะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือสรรพสิ่ง ซึ่งก็เหมือนกับบอกว่าพระเจ้ามีจริงนั้นเอง
สิ่งนี้สอดคล้องกับพระธรรมโรม 1:19-20 ที่กล่าวว่า “เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้นคือ ฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย”
2. จิตสำนึกเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์บ่งชี้ถึงพระเจ้า มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตสำนึกที่แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เราพบความจริงว่ามนุษย์ทั่วโลกทุกยุคทุกสมัยคุ้นเคยกับการแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ คนกรีกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายจนกระทั่งมีแท่นบูชาแด่ “พระเจ้าที่ไม่รู้จัก” (กจ.17:23) เช่นเดียวกับคนไทยที่ต้องพึ่งพิงใน “สิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก” มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกนับถือศาสนา และศาสนาที่ประชากรส่วนใหญ่ในโลกนี้นับถืออยู่นั้นเป็นศาสนาที่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่แตกต่างกันไปในรายละเอียด สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงส่วนลึกภายในจิตใจของมนุษย์ที่กระหายหาพระเจ้า ซึ่งเหมือนกับกำลังบอกเราว่า พระเจ้ามีจริง
3. มโนธรรมของมนุษย์บ่งชี้ถึงพระเจ้า มนุษย์ทั่วโลกทุกยุคทุกสมัยล้วนแต่มีมโนธรรม หรือจิตสำนึกในเรื่องความดีความชั่ว ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกันมาก แสดงให้เห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ไม่ได้ตั้งขึ้นเอง แต่เป็นกฎเกณฑ์ที่ถูกใส่ไว้ในตัวมนุษย์ทุกคน สิ่งนี้บ่งชี้เป็นนัยว่า มีผู้ที่ได้ใส่มโนธรรมไว้ในใจมนุษย์ทุกคน ซึ่งเหมือนกำลังบอกเราว่าพระเจ้ามีจริง สิ่งนี้สอดคล้องกับพระธรรมโรม 2:14-
15 ที่กล่าวว่า “เมื่อชนต่างชาติซึ่งไม่มีธรรมบัญญัติได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านั้นแม้ไม่มีธรรมบัญญัติก็มีธรรมบัญญัติให้ตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่มีธรรมบัญญัติก็ตาม เขาแสดงให้เห็นว่า หลักความประพฤติเป็นธรรมบัญญัตินั้นมีจารึกในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขาด้วย”
4. ต้นกำเนิดของสรรพสิ่งบ่งชี้ถึงพระเจ้า มีการใช้ตรรกะหรือหลักเหตุผลแบบง่ายๆว่า ถ้าสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตเป็นทอดๆ แล้วสิ่งมีชีวิตแรกสุดหรือต้นกำเนิดชีวิตแรกสุดมาจากไหน มันต้องมีต้นกำเนิดชีวิตแรกสุดซึ่งก็คือ พระเจ้าผู้เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง หรือในทางฟิสิกส์กล่าวว่าการเคลื่อนไหวของสิ่งใดๆในจักรวาลล้วนแต่ต้องได้รับแรงกระทบมาจากสิ่งอื่นมาเป็นทอดๆ แล้วสิ่งที่เคลื่อนไหวแรกสุดหรือต้นกำเนิด แรงกระทบแรกสุดมาจากไหน ต้นกำเนิดแรงกระทบแรกสุดก็คือ พระเจ้าผู้เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง การใช้ตรรกะเรื่องต้นกำเนิดเหล่านี้ยังมีอีกมากและล้วนแต่บ่งชี้ถึงพระเจ้า
5. ความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์บ่งชี้ถึงพระเจ้า เหตุการณ์ต่างๆที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริง มีความถูกต้องในทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี คำพยากรณ์ที่มีมากมายในพระคัมภีร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อเวลาผ่านไป คำพยากรณ์ก็เป็นจริงตามนั้นทุกประการ เหตุการณ์อัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำไว้อย่างมากมายในพระคัมภีร์ รวมทั้งเรื่องการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูก็เป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ โดยมีพยานบุคคลยืนยันมากมาย และเป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์ในยุคสมัยนั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อพระคัมภีร์ยืนยันถึงพระเจ้า เราก็แน่ใจได้ว่าพระเจ้ามีจริง
6. ประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้าของคนมากมายบ่งชี้ถึงพระเจ้า ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้หลายประการว่ามีสิ่งใดบ้างที่พระองค์จะทรงกระทำแก่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ซึ่งก็ปรากฏเป็นจริงในประสบการณ์ของคริสเตียนเกือบทุกคน คริสเตียนจะมีประสบการณ์ภายในจิตใจรู้สึกสัมผัสถึงสันติสุขจากพระเจ้า ชีวิตที่เคยชินอยู่ในอุปนิสัยที่ไม่ดีก็กลับเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมื่ออธิษฐานก็ได้รับการตอบจากพระเจ้า เป็นต้น บางคนก็มีประสบการณ์พิเศษ เช่น หายโรคอย่างอัศจรรย์เมื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า ได้ยินเสียงตรัสของพระเจ้า ได้เห็นนิมิต เป็นต้น เหล่านี้ทำให้รู้ได้ว่าพระเจ้ามีจริง เช่นเดียวกับที่เปาโลมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้าอย่างชัดเจนจนพูดได้ว่า “แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ” (1 ทธ.1:12)
รู้ได้อย่างไรว่าพระคัมภีร์มาจากพระเจ้า? 
พระคัมภีร์ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความถูกต้องในทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี คำพยากรณ์มากมายในพระคัมภีร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อเวลาผ่านไป คำพยากรณ์เป็นจริงตามนั้นทุกประการ 
นรกสวรรค์ใม่มีจริง? 
พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่านรกมีจริง (อสย.57:21; 2 ปต.2:4,6,9; รม.2:4-5; มก.16:16; ลก.13:3; ยน.3:18, 36 ฯลฯ) ซึ่งแม้ว่าเราไม่มีทางหาหลักฐานที่แน่ชัดมาพิสูจน์เรื่องนรกสวรรค์ได้ แต่ในทางการแพทย์ก็มีบันทึกมากมายจากการสัมภาษณ์บรรดาผู้ป่วยที่ได้รับการช่วยเหลือให้หัวใจกลับเต้นอีกครั้ง หลังจากที่หยุดเต้นไปช่วงหนึ่ง ผู้ป่วยเหล่านี้จำนวนมากยืนยันว่าชีวิตหลังความตายมีจริง วิญญาณออกจากร่างจริงแล้วได้กลับเข้ามาในร่างตนเองอีกครั้ง
ตัวอย่างเช่น นายแพทย์มอริส รอลิ้งส์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางหัวใจซึ่งมีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับการช่วยคนตายที่หัวใจหยุดเต้นแล้วให้กลับสู่ชีวิตอีก โดยการปั๊มหัวใจคนตายใหม่ๆ แต่เดิมเขาไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย แต่ประสบการณ์จำนวนมากของเขาเกี่ยวกับเรื่องที่คนไข้ได้ไปพบมาระหว่างหัวใจหยุดเต้น ทำให้เขาแน่ใจว่าชีวิตหลังความตายมีจริง วิญญาณออกจากร่างจริง บางคนพบสันติสุขเมื่อตาย แต่คนที่ไม่ใช่คริสเตียนพบประสบการณ์นรก บึงไฟ และกลับมาเล่าอย่างน่าสยดสยอง มีบางกรณีที่คนไข้รู้สึกตัวว่าวิญญาณออกจากร่างลอยไปบนเพดาน และมองลงมาเห็นร่างตนเองและแพทย์ที่พยายามช่วยเหลือเขา ทั้งยังเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์เหล่านี้ชื่อ Beyond Death Door ด้วย นายแพทย์อีกท่านที่
วิจัยเรื่องเดียวกันและได้ผลอย่างเดียวกันด้วยคือ นายแพทย์เรย์มอนด์ อาร์ มูดี้ จูเนียร์ (Raymond R. Moody, Jr.) ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง Life After Death

ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ทำไมต้องเชื่อศาสนาคริสต์ด้วย?
เป็นความจริงที่ว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเด่นชัดของพระเจ้าคือ พระองค์ไม่ได้มุ่งสอนให้เราเป็นคนดีเป็นอันดับแรก เนื่องจากโดยปกติแล้วมนุษย์เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ปัญหาของคนเราอยู่ที่รู้แล้วแต่ยังคงทำบาป มนุษย์เราทำบาป ทำให้ต้องรับผลกรรมในนรก และผลร้ายอื่นๆอย่างหลีกเลียงไม่ได้ พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อช่วยไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป พ้นจากผลกรรมในนรก และเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา

ฉันทำดีพอที่จะขึ้นสวรรค์แล้วหรือยัง?
สวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า พระองค์ทรงบริสุทธิ์ที่ประทับของพระองค์ จงบริสุทธิ์ คนที่ดีพอจะขึ้นสวรรค์ได้คือ คนที่ดีสมบูรณ์แบบ เป็นคนบริสุทธิ์ เพียบพร้อมไม่มีความบาปความชั่วปนเปื้อนเลย ในชีวิตไม่เคยทำบาปเลย พระคัมภีร์ตรัสว่า ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย (โรม 3:23) ฉะนั้น จึงไม่มีใครดีพอที่จะขึ้นสวรรค์ได้เลย มนุษย์จะรอดพ้นบาปและขึ้นสวรรค์ได้โดยการรับการไถ่บาปจากพระเยซูเท่านั้น

คนที่ยังไม่สามารถรู้ผิดชอบชั่วดีและไม่สามารถเข้าใจเรื่องพระเยซู
เช่น เด็กทารกและคนปัญญาอ่อน หากตายไปจะตกนรกหรือไม่?
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่พระเจ้าทรงยุติธรรม พระคัมภีร์กล่าวถึงพระองค์ว่า “...พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม” (2 ปต.2:23) พระองค์จะทรงพิพากษาแต่ละคน ด้วยบรรทัดฐานที่เหมาะสมกับโอกาสของเขาแน่นอน (รม.2:6) ที่เราเชื่อเช่นนี้เพราะพระคัมภีร์ให้ความเข้าใจแก่เราว่า โทษของคนบาปที่ไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐจะหนักกว่าโทษของคนบาปที่เคยได้ยินข่าวประเสริฐ (ลก.10:10-14)
ยิ่งกว่านั้นพระเยซูยังตรัสว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็ก (มธ.19:14; 18:3,10) นั้นหมายความว่าคนที่ยังไม่รู้ความ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี และไม่สามารถจะเข้าใจเรื่องการไถ่บาปได้อย่างเพียงพอ เช่น เด็กทารกหรือคนปัญญาอ่อน พระเจ้าย่อมให้เขาได้ไปสวรรค์โดยไม่ต้องต้อนรับพระเยซูคริสต์โดยตรง แต่ทันทีที่เขามีความเข้าใจเพียงพอ เขาก็ต้องต้อนรับพระคริสต์ด้วยตนเอง 

คนที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐหากตายไปจะตกนรกไหม?
ดังที่กล่าวแล้วว่าพระคัมภีร์ไม่ได้บอกเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่พระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม พระองค์จะทรงพิพากษาคนแต่ละคนด้วยบรรทัดฐานที่เหมาะสมกับโอกาสของเขาแน่นอน (รม.2:6) ที่เราเชื่อเช่นนี้เพราะพระคัมภีร์ให้ความเข้าใจแก่เราว่าโทษของคนบาปที่ไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐจะหนักกว่าโทษของคนบาปที่เคยได้ยินข่าวประเสริฐ (ลก.10:10-14) ยิ่งกว่านั้นในพระคัมภีร์บอกอีกว่า สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู เขาจะถูกพิพากษาด้วยมาตรฐานแห่งมโนธรรมในใจของเขาเอง (รม.2:6-16) พระองค์จะพิพากษาเขา “ตามควรแก่การกระทำของเขา” (รม.2:6) แต่ก็ยากมากที่จะรอดพ้นจากการพิพากษาไปได้ 
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม พระองค์จะให้ความยุติธรรมกับทุกๆคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเยซู ถ้ามนุษย์ยังรู้จักว่าสิ่งใดไม่ยุติธรรม พระเจ้าจะไม่เข้าใจมากกว่าหรือ วาระสุดท้ายในวันพิพากษา จะไม่มีใครสามารถกล่าวหาว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมได้ พระเจ้าเท่านั้นจะบอกมนุษย์ได้ว่าอะไรยุติธรรม ทั้งนี้เพราะทุกคนจะรู้ว่าพระองค์ยุติธรรมที่สุด ไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์ด้วยกันจะมาตัดสินในกรณีเช่นนี้ว่าใครจะไปนรกหรือสวรรค์ ขอให้เรามอบเรื่องนี้ให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินดีกว่า

ศาสนาอื่นๆก็สามารถพาเราไปสวรรค์เหมือนกัน
ทำไมพระเยซูต้องเป็นทางเดียวที่ไปสวรรค์ได้?
ความคิดที่ว่าศาสนาล้วนเป็นเพียงถนนหลายสายที่นำเราไปสู่จุดหมายเดียวกัน ความคิดเช่นนี้ดูผิวเผินก็น่าฟังและน่าดึงดูดใจคน ฟังดูเหมือนเรามีใจอดทนต่อกัน ฟังดูเหมือนไม่ก้าวร้าว ซึ่งทำให้คนฟังคล้อยตามได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น การที่ทุกศาสนากล่าวว่าพาไปสวรรค์ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกศาสนาพาไปสวรรค์ได้เหมือนกันตามที่กล่าวอ้างเสมอไป ถ้าเราศึกษาอย่างลึกซึ้ง
แล้วจะพบว่าแต่ละศาสนามีความแตกต่างกันในสาระสำคัญมากเสียจนไม่น่าจะพาคนไปสู่จุดเดียวกันได้
พระเจ้าหรือองค์ผู้สูงสุดของแต่ละศาสนาแตกต่างกันมาก พระเจ้าของคริสเตียนเป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ทรงมีความบุคคลคือ มีความคิด มีอารมณ์ความรู้สึก ทรงมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลเป็นส่วนตัวแต่ละคน (เช่น ทรงฟังเขา ทรงตรัสกับเขา ทรงช่วยเขา) และที่สำคัญคือ ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่สำแดงกับมนุษย์อย่างชัดเจนที่สุดโดยการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นองค์เดียวที่พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์เองให้มนุษย์แน่ใจ โดยการที่ทรงทำการอัศจรรย์มากมายและท้ายที่สุดทรงฟื้นคืนพระชนม์หลังจากที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ทั้งหมดนี้มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์มากมาย ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ อาจมีพระเจ้าหรือองค์ผู้สูงสุด แต่ก็มีบุคลิกลักษณะและที่มาแตกต่างกันไป เช่น ศาสนาฮินดูมีพระเจ้ามากมายหลายองค์ ศาสนาเดิมของไทยไม่ถือว่ามีพระเจ้า แต่ถือว่ามีเทวดาและผี บางท่านบอกว่าถือว่ากฎธรรมชาติคือพระเจ้า แต่นั่นก็กลายเป็นพระเจ้าที่ไม่มีความเป็นบุคคล ซึ่งแตกต่างจากพระเจ้าของคริสเตียนที่เป็นบุคคล ศาสนาอิสลามอาจจะมีพระเจ้าซึ่งมีที่มาเดียวกันกับคริสเตียน แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะพระเยซูตรัสว่ามนุษย์จะสามารถเข้าถึงพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้โดยทางพระองค์เท่านั้น (“'เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” ยน.14:6) พระองค์ยืนยันว่าไม่มีทางอื่นเลย (“ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” กจ.4:12) พระเยซูมิได้เป็นเพียงผู้สอนศีลธรรม แต่ทรงพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์แล้ว เรายังไม่พบการพิสูจน์จากผู้ใดที่เหมือนพระเยซูเลย
เป้าหมายของแต่ละศาสนาก็แตกต่างกันเหลือเกิน เป้าหมายศาสนาเดิมของไทยคือ การสู่นิพพานซึ่งไม่ใช่สวรรค์ แต่เป็นสภาพของการดับสูญ แต่เป้าหมายของคริสเตียนคือ การรู้จักพระเจ้าและมีความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างชื่นชมยินดีตลอดไป
วิธีการรอดจากบาปของแต่ละศาสนาก็ต่างกันมาก คริสเตียนสอนว่าเรารอดจากบาปโดยการรับพระคุณจากพระเจ้าที่ตายแทนเราบนไม้กางเขน เรารับโดยความเชื่อในพระเยซู ไม่ใช่โดยความดีที่เราทำ ขณะที่ศาสนาอื่นๆสอนว่า เราต้องพึ่งพาตนเองในการทำความดีเพื่อสะสมบุญกุศลไว้
ฉะนั้น หากศาสนาต่างๆมีความแตกต่างเพียงนี้ เราจะสรุปว่าทุกศาสนาเหมือนกันไม่ได้ จุดคล้ายคลึงกันในศาสนาต่างๆคงมีบ้าง เช่น คำสอนบางอย่างอาจสอดคล้องกัน เช่น ไม่ให้ขโมย พูดปด ฯลฯ แต่ความคล้ายคลึงในบางจุด (แม้จะเหมือนเกือบทุกจุด) ก็ไม่ได้ทำให้เราสรุปได้ว่าศาสนาเหล่านี้เหมือนกัน การจะกล่าวว่าศาสนาต่างๆเหมือนกันได้นั้น เราต้องพิจารณาทุกๆจุดแล้วพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน
เลย เมื่อนั้นเราจึงสรุปเช่นนั้นได้ แม้มีเพียงบางจุดที่แตกต่างกัน เราก็ไม่ควรกล่าวว่าทุกศาสนาเหมือนกัน

คนที่มีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซูบังเกิดจะรอดไหม? 
คนที่มีชีวิตก่อนพระเยซูมาบังเกิดก็ได้ยินเรื่องพระเจ้ามาโดยตลอด ตั้งแต่อาดัมถึงพระคริสต์มาประสูติ พระเจ้าทำงานกับมนุษย์ตลอดเวลา และเปิดเผยเรื่องของพระองค์ อาดัมและเอวารอคอยผู้ที่จะมาช่วยจัดการกับซาตาน (ปฐก.3:15) คือพระเยซูนั่นเอง ในยุคโมเสสก็มีการลบบาปโดยการถวายแกะเป็นเครื่องสัตวบูชา การถวายแกะเล็งถึงการรอคอยพระคริสต์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมาช่วยเราให้พ้นบาป
ฉะนั้นคนในยุคพระคัมภีร์เดิมต่างก็รอดโดยการรอคอยพระคริสต์ที่ตายบนไม้กางเขนในอนาคต เราที่อยู่หลังยุคพระคัมภีร์เดิมก็เชื่อในพระคริสต์ที่ตายบนไม้กางเขนในอดีต เรามองย้อนกลับไปที่กางเขนด้วยความเชื่อ ในขณะที่คนก่อนสมัยพระคริสต์มองมาข้างหน้ารอคอยด้วยความเชื่อ อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ได้ยํ้าโดยตลอดว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม ฉะนั้นเราไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ พระองค์ย่อมมีวิธีการที่ยุติธรรมแน่ แม้ว่าเราอาจจะยังไม่รู้

ทำไมพระเจ้าจึงสร้างโลกที่มีความทุกข์?
บางคนคิดว่า การที่โลกนี้มีปัญหาและความทุกข์มากมายแสดงว่าพระเจ้าไม่มีจริง หรือถ้ามีก็คงเป็นพระเจ้าที่ไม่ดีจริงจึงสร้างโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ความจริงแล้วเราต้องเข้าใจว่า ความทุกข์มีต้นเหตุมาจากความบาปของมนุษย์เอง พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดและทรงสร้างโลกไว้ดีสมบูรณ์แบบ เพียงแต่พระองค์สร้างมนุษย์ให้มีเจตจำนงเสรีเหมือนพระองค์คือ มนุษย์มีสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อ
ฟังพระองค์หรือเลือกไม่เชื่อฟังซึ่งเป็นการทำบาปก็ได้ มนุษย์ได้เลือกทำบาป ผลที่ตามมาจากบาปคือความทุกข์นานาประการ (ปฐก.3:4; 3:19; สภษ.11:19; รม.5:12; รม.6:23) การโทษพระเจ้าจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ความทุกข์ที่เราเผชิญควรชักนำเราให้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้รอดพ้นบาป และรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อให้สามารถเผชิญกับความทุกข์ต่างๆในโลกนี้ และมีสันติสุขแท้ในชีวิต
ยิ่งกว่านั้นหากเราเชื่อในพระเยซู วันหนึ่งเราจะได้เข้าในสวรรค์ ณ ที่นั้นจะไม่มีบาป ไม่มีนํ้าตา ไม่มีความทุกข์ทรมานอีกเลย (วว.21:4) ซาตานที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาจะอยู่ในบึงไฟนรก (วว.20:10) ระบบที่เลวร้ายจะหมดไป (2 ปต.3:7-10; รม.8:18-25) ปัจจุบันเรายังอยู่ในสภาพต่ำกว่าอุดมคติที่พระเจ้าตั้งไว้

พระเจ้าสร้างมนุษย์มาเพื่ออะไรเมื่อรู้ว่ามนุษย์จะทำบาปแน่
พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อเราจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ พระองค์ปรารถนาจะมีความสัมพันธ์แห่งความรักกับเราเหมือนกับที่พ่อแม่ปรารถนาอยากมีลูก แม้อาจต้องเสี่ยงบ้างกับการที่ลูกอาจต้องกลายเป็นคนที่ทำชั่ว แต่เพราะความรัก พ่อแม่ก็ยังปรารถนาจะให้เราเกิดมา และพระองค์ทรงทราบว่าการที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาแม้ว่าจะมีบางส่วนพินาศเพราะบาป แต่อีกส่วนหนึ่งก็จะได้ร่วมชื่นชมยินดีกับพระองค์ซึ่งถือว่าดีกว่าการที่ไม่มีใครมีโอกาสได้เกิดมาเลย
และแม้พระเจ้าทรงทราบล่วงหน้าว่ามนุษย์จะทำบาป พระองค์ก็ไม่ได้นิ่งดูดาย ทรงหาทางช่วยเหลืออยู่แล้วโดยทรงกระทำถึงขั้นสูงสุดคือ ยอมตายเพื่อเรา ยิ่งกว่านั้นไม่มีคนใดเลยที่ไม่มีโอกาสพ้นบาป การที่มนุษย์โทษพระเจ้านั้นไม่ถูก เพราะมนุษย์เป็นฝ่ายทำผิดเอง

คุณเชื่อพระเยซูเพราะคุณขาดที่พึ่งทางใจ
อยากหาอะไรมาคํ้าความอ่อนแอของคุณ แต่ผมพึ่งตัวเองได้
มนุษย์โดยปกติไม่มีความสามารถจะอยู่คนเดียวได้ ตั้งแต่เกิดก็ต้องพึ่งพาพ่อแม่ หากไม่มีใครดูแลก็คงตายไปแล้ว เมื่อป่วยเราก็รู้สึกตัวว่าเราไม่มีอำนาจจะแก้ปัญหาของตัวเราเองได้จึงต้องไปพึ่งหมอ ความตายเป็นสัญลักษณ์ว่าเราไม่สามารถอยู่ค้ำฟ้า เราต้องการผู้อื่น เราอยู่ด้วยตัวเองได้บางขณะ แต่ในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว เราจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น เราตัดผมเองไม่ได้ เราก็ขอให้ช่างตัดผมตัดให้ เราซ่อมไฟฟ้าไม่ได้ เราก็ขอช่างไฟฟ้ามาช่วย ฯลฯ การต้องพึ่งพาผู้อื่นไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร เป็นเรื่องธรรมดาของการเป็นมนุษย์ การที่เราไม่รู้ตัว กลับคิดว่าตนเก่งสามารถช่วยตนเองได้ทุกเรื่องนั้นเป็นความหยิ่งและหลอกตนเอง หากเราไม่สำนึกผิดเราก็น่าสงสารที่สุด 
แล้วยิ่งถ้าเรามีโอกาสให้พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งเป็นที่พึ่งที่สามารถช่วยเราในทุกด้านของชีวิต ทั้งชีวิตปัจจุบันและชีวิตหลังความตาย ทำไมเราถึงไม่ควรพึ่งพระองค์เล่า? 

ทำอย่างไรหากครอบครัวไม่เห็นด้วยที่เราจะมาเชื่อพระเยซู? 
ที่ครอบครัวไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขายังไม่รู้และไม่เข้าใจพระเยซูอย่างถูกต้อง หากคุณรับเชื่อพระเยซูและแสดงให้พวกเขาเห็นถึงสิ่งดีที่พระเยซูทรงกระทำในชีวิตคุณ พวกเขาก็จะค่อยๆเปลี่ยนใจ ซึ่งคุณไม่เพียงแต่ช่วยตัวเองให้รอดเท่านั้น แต่ยังจะช่วยครอบครัวของคุณให้รอดด้วย

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของฝรั่ง
เราเป็นคนไทยต้องนับถือศาสนาประจำชาติมิใช่หรือ?
ดวงอาทิตย์เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งโลกฉันใด พระเจ้าก็ทรงช่วยมนุษย์ทั้งโลกฉันนั้น พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างโลกและจักรวาล พระองค์ตรัสว่าพระองค์ทรงรักโลก ฉะนั้นพระองค์จึงเป็นพระเจ้าของคนทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะของคนชาติใดชาติหนึ่ง และทรงมีพระประสงค์จะช่วยมนุษย์ทั้งโลกให้รอดพ้นบาปโดยไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง จีน อินเดีย ไทย หรือคนชาติใดก็ตาม และหากไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์
ก็ต้องตกนรกโดยไม่เลือกเชื้อชาติด้วยเช่นกัน
จะว่าไปแล้ว ศาสนาดั้งเดิมที่คนไทยจำนวนมากยึดถืออยู่ก็ไม่ใช่ของคนไทยมาแต่เติม แต่กำเนิดขึ้นในประเทศอินเดีย แล้วคนไทยก็รับเข้ามาอีกทอดหนึ่ง อีกทั้งเรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ก็เริ่มต้นขึ้นในทวีปเอเชียซึ่งประเทศไทยตั้งอยู่เช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งดีมีประโยชน์ คนไทยเราก็รับมาแล้วทุกอย่างไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดกัน สิ่งดีมีประโยชน์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมาจากที่ใดก็ตาม

ทำไมพระเยซูรับโทษบาปแทนเราได้
ใครทำอะไรก็ต้องได้รับผลนั้นเองมิใช่หรือ?
แน่นอน คนเราต้องรับผลจากการกระทำของตนเอง แต่โดยปกติแล้ว หากมีผู้ที่จะชดใช้ผลการกระทำนั้นแทนเราก็สามารถทำได้ ถ้าหากว่าผู้ที่ชดใช้นั้นเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะชดใช้โทษนั้นแทน และชดใช้อย่างเพียงพอกับโทษนั้น พระเยซูทรงเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะชดใช้โทษนั้นแทนเราและทรงชดใช้อย่างเพียงพอเพราะ (1) พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตมนุษย์ทุกคน (2) พระองค์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์
และยอมถูกตรึงจนสิ้นพระชนม์เพื่อใช้ชีวิตของพระองค์เองเป็นสิ่งชดใช้แทนมนุษย์ เฉพาะคนที่ยอมมอบถวายชีวิตของตนแด่พระองค์เท่านั้นที่พระองค์จะชดใช้โทษแทนให้ได้

ทำไมคริสเตียนพ้นบาปง่ายเหลือเกิน เพียงแค่เชื่อก็พ้นบาปแล้ว?
แท้จริงแล้วการที่คนเราจะพ้นบาปได้นั้นเป็นเรื่องยากมาก และเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก แต่ที่อาจดูเหมือนง่ายสำหรับเราก็เพราะพระเยซูทรงทำสิ่งยากนั้นแทนเราแล้ว อย่างไรก็ตามการเชื่อพระเยซูจริงๆแล้วก็ไม่ใช่ง่ายนัก ต้องพร้อมที่จะเชื่อฟัง และยอมทนทุกข์เมื่อถูกข่มเหงด้วย

คนในโบสถ์ทำไม่ดี ทำให้สะดุดไม่อยากเชื่อ
ไม่ใช่ทุกคนที่นั่งประชุมในโบสถ์หรือมาโบสถ์อยู่เสมอจะเป็นคริสเตียนเสมอไป อย่าให้คนอื่นๆ มาเป็นอุปสรรคเรื่องคุณเองกับพระเจ้าเลย และแม้มีคริสเตียนบางคนที่ทำตัวไม่ดี ไม่สมกับการเป็นคริสเตียนก็ขอให้เราเข้าใจเขา เพราะไม่มีคริสเตียนคนใดดีพร้อมบริบูรณ์หมดทุกอย่างและทุกเวลา แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมรับต่อพระเจ้าและคนทั้งปวงว่า เขาเป็นคนบาปและปรารถนาจะให้พระเจ้าช่วยให้เขาพ้นผิดบาป เขาจึงมาโบสถ์โบสถ์ก็เหมือนกับโรงพยาบาล คนป่วยไปโรงพยาบาลเพราะรู้ตัวว่าป่วยและต้องการหมอ คริสเตียนมาโบสถ์ก็เพราะรู้ตัวว่าเป็นคนไม่ดี และต้องการพระเจ้าช่วยเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไปดูตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จก็ย่อมมีสิ่งเกะกะให้ไม่น่าดูเสมอ อย่าตำหนิว่าตึกไม่ดีจนกว่าจะเห็นตึกสร้างเสร็จ คริสเตียนกำลังค่อยๆเปลี่ยนแปลง เราจะบริบูรณ์เหมือนพระเยซูเมื่อพระองค์เสด็จมา (1 ยน.3:3)
อย่าให้ความผิดของคนอื่นทำให้ตัวเราเองต้องหมดโอกาสไปสวรรค์ เพราะมัวแต่มองความผิดของคนอื่น แม้คริสเตียนจะไม่ดีก็ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูจะไม่ดีตามไปด้วย ความจริงของพระเยซูขึ้นอยู่กับพระองค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคริสเตียนเลย

เอาไว้วันหลังค่อยตัดสินใจเป็นคริสเตียน?
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน หากเป็นอะไรไปวันนี้เราก็ต้องพินาศในนรกชั่วนิรันดร์ทันที แต่ถ้าเราเชื่อพระเยซูวันนี้ก็มีหลักประกันในสวรรค์ทันทีเช่นกัน หากในใจของเรามีความเชื่อและไม่มีข้อสงสัยอื่นอีกแล้ว ก็ไม่มีเหตุอะไรที่ควรรั้งรอต่อไป รีบตัดสินใจในขณะที่ยังมีโอกาสดีกว่า รอต่อไปอาจจะสาย อีกประการหนึ่งคือ การเชื่อในพระเยซูจะทำให้เราได้รับพรอื่นๆอีกด้วย ซึ่งการตัดสินใจเร็วก็ย่อมได้สิ่ง
ดีเร็วๆ ตัดสินใจช้าก็ได้รับสิ่งดีช้า เป็นการเสียเวลาและโอกาสดีๆในชีวิตไป เหมือนกับนักเรียนที่ไม่ยอมตั้งใจเรียนในช่วงที่สมองยังดีอยู่ พออายุมากแล้วเพิ่งจะคิดได้ แล้วจะหันมาตั้งใจเรียนก็นับว่าเสียโอกาสทองของชีวิตไปแล้ว

คำถามทั้งหมดข้างตันนี้เป็นเพียงตัวอย่างคำถามที่จะมีอีกมากมาย ขอให้เราเข้าใจว่าหัวใจของการเป็นพยานที่แท้จริงไม่ใช่การตอบคำถาม แต่อยู่ที่การเล่าคำพยาน เนื้อหาข่าวประเสริฐ และการเชิญชวนให้ต้อนรับพระเยซู หากพบคำถามที่ตอบไม่ได้ให้บอกกับผู้ถามด้วยความมั่นใจว่า เราไม่รู้ แต่มีคริสเตียนคนอื่นๆ ที่รู้ แต่เรารู้อย่างหนึ่งว่าพระเจ้าช่วยเราได้ ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไป ชีวิตของเราดีขึ้น พระเจ้าทรงช่วยเขาได้อย่างแน่นอน

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณพระเจ้า และขอบคุณผู้รับใช้ท่านนี้พอดีดิฉันกำลังสนใจเรื่องการประกาศอยู่พอดีเลยค่ะ ขอพระเจ้าทรงเสริมกำลังคุณด้วยนะค่ะ

    ตอบลบ