5. การเป็นพยานส่วนตัว
ขั้นตอนพื้นฐานในการเป็นพยานส่วนตัว
การเป็นพยานส่วนตัวเป็นวิธีประกาศขั้นพื้นฐานที่สุดที่คริสเตียนทุกคนควรฝึกฝนเพื่อให้ทำได้ การเป็นพยานส่วนตัวสามารถทำได้ตามแนวทางต่อไปนี้
ขั้นแรก : เปิดการสนทนา
อาจเริ่มด้วยการทักทาย หากยังไม่รู้จักกันก็แนะนำตัว หากรู้จักกันแล้วก็ข้ามการแนะนำตัวไป จากนั้นก็พูดคุยเรื่องทั่วไปเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ จากนั้นก็บอกเขาว่าเราขอเวลาสักครู่หนึ่งเพื่อถามคำถามบางข้อเพื่อที่จะรู้ว่าเขามีปรัชญาต่อชีวิตอย่างไร โดยใช้คำถามเช่น
“คุณเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ไหม?...หรือคุณคิดว่าตายแล้วดับสูญ?”
“สมมติว่าคุณจะต้องจากโลกไป วันนี้คุณแน่ใจไหมว่าคุณได้พ้นจากกฎแห่งกรรมแล้ว”
“คุณแน่ใจไหมว่าคุณจะได้ไปสวรรค์?”
“คุณคิดว่าการที่คุณจะพ้นจากกฎแห่งกรรมหรือไปสวรรค์ได้นั้นคุณต้องทำอย่างไร?”
“คุณมีปัญหาอะไรที่ทำให้ทุกข์ใจไหม?”
“ทุกวันนี้คุณมีความสุขจริงๆ หรือเปล่า?”
“คุณมีนิสัยอะไรที่อยากแก้ แต่แก้ไม่ได้ไหม?”
“คุณอยากมีคนที่ช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้นไหม?”
“คุณเคยมีเรื่องที่คุณช่วยตัวเองไม่ได้หรือเกินกำลังของคุณบ้างไหม?”
หลังจากเขาตอบแล้ว ให้เราขออนุญาตใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อเล่าให้เขาทราบเรื่องของพระเจ้าว่าพระองค์ช่วยชีวิตของเราอย่างไร และพระองค์สามารถช่วยเขาได้ด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ต่อด้วยการเล่าคำพยานชีวิต
ขั้นที่สอง : เล่าคำพยานชีวิต
เป็นการเล่าประสบการณ์ชีวิตของตนเองที่ได้เชื่อพระเยซูคริสต์ เรื่องราวจากชีวิตจริงของเราเช่นนี้เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ การเล่าคำพยานชีวิตประกอบด้วย 3 จุดคือ
จุดที่ 1 ชีวิตของเราก่อนที่จะมาเชื่อพระเยซูเป็นอย่างไร
จุดที่ 2 เรามาเชื่อพระเยซูได้อย่างไร
จุดที่ 3 ตั้งแต่เชื่อพระเยซูมาชีวิตของเราเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงและดีขึ้นอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตามหากเราเป็นคนที่เกิดในครอบครัวคริสเตียน ซึ่งช่วงชีวิตจุดที่ 1 และ 2 มักจะไม่ค่อยชัดเจนนัก ก็ให้เน้นจุดที่ 3 ว่าชีวิตของเราที่ได้อยู่ในครอบครัวคริสเตียนและได้รู้จักพระเยซูตั้งแต่เล็กเป็นอย่างไร และเรารับเชื่อพระเยซูด้วยตัวเองจริงๆเมื่อใด และชีวิตที่ได้เชื่อในพระเยซูอย่างแท้จริงเป็นอย่างไรรวมทั้งการได้เกิดในครอบครัวคริสเตียนดีอย่างไร
ขั้นที่สาม : เล่าเนื้อหาข่าวประเสริฐ
หลังจากนั้นให้เล่าข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์ โดยสามารถใช้โครงเรื่องเนื้อหาที่อยู่ในตอนที่ 1 ในหัวข้อ “เนื้อหาข่าวประเสริฐ” ซึ่งประกอบด้วย 4 หัวข้อได้แก่
1. มีพระเจ้าเป็นองค์ผู้สูงสุด และทรงมีนํ้าพระทัยดีเลิศต่อมนุษย์
(1) มีพระเจ้าผู้สูงสุด และพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง และทรงสร้างมนุษย์ (ปฐก.1-2)
(2) พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน ปรารถนาจะให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์อย่างมีสันติสุข สมบูรณ์ มีชีวิตนิรันดร์ และมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (ปฐก.1-2)
2. มนุษย์เป็นคนบาป และต้องได้รับผลร้ายจากบาป
(1) มนุษย์ตั้งแต่คู่แรกทำบาป เชื้อสายของมนุษยชาติทั้งหมดจึงตกสู่การเป็นคนบาป (รม.5:12-14)
(2) มนุษย์ทุกคนก็ทำบาปเองด้วย ไม่มีใครเลยที่มีแต่ความดี และไม่ทำบาปเลย (รม.3:23; ปญจ.7:20)
(3) บาปต้องได้รับโทษ และผลร้ายหลายประการ ทั้งความทุกข์ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า อุปนิสัยโน้มเอียงไปในการทำบาป และท้ายที่สุดต้องถูกพิพากษาโทษในนรกตลอดชั่วนิรันดร์ (รม.6:23)
3. พระเจ้าประทานพระเยซูให้มาเป็นผู้ไถ่บาป โดยการสิ้นพระชนม์ ฟื้นคืนพระชนม์ และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
(1) พระเจ้ายังทรงรักมนุษย์ และมีพระประสงค์จะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นบาป จึงส่งพระเยซูมาเป็นมนุษย์ในโลกนี้เพื่อไถ่บาปให้แก่มนุษย์ทั้งปวง (ยน.3:16)
(2) ชีวิตของพระเยซูในโลกนี้ทั้งด้านการดำเนินชีวิต คำสอน และการอัศจรรย์ บ่งชี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า
(3) การไถ่ของพระองค์สำเร็จโดยการที่ทรงสิ้นพระชนม์ ทรงฟื้นคืนพระชนม์ และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (รม.5:8)
4. มนุษย์รอดพ้นบาปด้วยการรับพระคุณจากพระเจ้าโดยเชื่อในพระเยซู
(1) มนุษย์จะรอดพ้นบาปได้โดยการเชื่อในพระเยซูเท่านั้น (กจ.4:12) ความดีของเราช่วยเราให้พ้นบาปไม่ได้ (อฟ.2:8-9)
(2) การรอดพ้นบาปคือ ได้รับชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็นชีวิตในสวรรค์ไม่ต้องพินาศในนรก (ยน.3:16) ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (ยน.10:10) เป็นชีวิตที่มีสันติสุขแท้ที่โลกให้ไม่ได้ (ยน.14:27) อุปนิสัยจะถูกสร้างใหม่ (2 คร.5:17) มีพระเจ้าเป็นที่พึ่งในชีวิต (มธ.7:7; ยน.16:24)
(3) การเชื่อในพระเยซูประกอบด้วยการสำนึกว่าตนเป็นคนบาป การกลับใจใหม่ที่จะหันจากชีวิตเก่า การเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้เสด็จมาบังเกิด สิ้นพระชนม์ ฟื้นคืนพระชนม์ และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ อีกทั้งเป็นการมอบถวายชีวิตให้พระเยซูเข้ามาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตหรือเป็นเจ้าชีวิตของเขาเป็นการส่วนตัว (รม.5:8)
(4) การเชื่อพระเยซูต้องมีการรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจคือ มีทั้งการยอมรับในจิตใจ และเปิดเผยออกมาด้วย (รม.10:9-10)
เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐ เราสามารถนำองค์ประกอบของเนื้อหาข่าวประเสริฐข้างต้นนี้ไปใช้ได้โดยเราควรปรับรายละเอียดต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ฟังและสถานการณ์ให้มากที่สุด
ขั้นที่สี่ : เชิญชวนให้ตอบสนอง
สุดท้ายควรจบด้วยการเชิญชวนให้ต้อนรับพระเยซู เชิญชวนเขาว่าเมื่อพระเยซูทรงช่วยเขาได้เช่นนี้เขาต้องการให้พระองค์ช่วยหรือไม่ หากต้องการก็นำเขารับเชื่อโดยนำเขาอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด โดยให้เขาอธิษฐานตามทีละประโยคดังนี้
“ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์สำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป และเชื่อว่าพระเยชูได้สิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษบาปแทนข้าพระองค์ และทรงฟื้นคืนพระชนม์ บัดนี้ข้าพระองค์ขออัญเชิญพระองค์ให้เป็นเจ้าชีวิตของข้าพระองค์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
หลังจากเขารับเชื่อแล้ว เราควรหนุนใจให้เขามานมัสการที่คริสตจักรสม่ำเสมอ เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น และเราควรเป็นพี่เลี้ยงเขาต่อไปหรือจัดหาพี่เลี้ยงให้แก่เขา
หากผู้ฟังมีคำถาม หรือมีข้อโต้แย้ง เราก็ควรสามารถตอบคำถามหรือข้อโต้แย้งนั้นได้อย่างชัดเจนและน่าเชื่อถือ หากยังตอบไม่ได้ก็ไม่ต้องหวั่นไหว ให้บอกว่าแม้ว่าเรายังไม่สามารถตอบได้ทันที แต่มีคำตอบแน่นอน เราจะไปศึกษาหรือสอบถามจากผู้รู้และจะมาให้คำตอบแก่เขาภายหลัง
หากเขายังไม่พร้อมก็เชื้อเชิญให้เขาได้ศึกษาต่อไปโดยไม่ท้อใจ มีคริสเตียนจำนวนมากที่ไม่ได้รับเชื่อทันทีที่ได้ยินข่าวประเสริฐ หลายคนรับเชื่อหลังจากฟังข่าวประเสริฐหลายครั้ง ขอให้ชักชวนเขาต่อไปเรื่อยๆ โดยใช้หลายวิธีประกอบกัน เช่น เล่าถึงสิ่งดีต่างๆเรา หรือคริสเตียนคนอื่นๆได้รับจากพระเจ้า ให้เขาฟังอยู่เสมอ หาใบปลิว หนังสือ หรือเทปที่เป็นประโยชน์ให้เขาอ่านหรือฟัง ชวนเขาไปร่วมนมัสการหรือกิจกรรมต่างๆที่คริสตจักรจัดขึ้น พร้อมกับแสดงความรัก การเอาใจใส่และสำแดงชีวิตที่ดีต่อเขา รวมทั้งอธิษฐานเผื่อเขามากๆให้พระเจ้าทรงเปิดจิตใจของเขา
นอกจากนี้หากเขามีปัญหา เราสามารถขออนุญาตอธิษฐานให้เขา ขอให้พระเจ้าทรงช่วยแก้ปัญหาให้เขา เพื่อเขาจะมีประสบการณ์กับพระเจ้าและรับเชื่อในที่สุด
ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการเป็นพยานส่วนตัว
1. ในการเป็นพยานกับคนไทยโดยทั่วๆไป เรายังควรเพิ่มเติมเนื้อหาที่จะช่วยให้คนไทยทั่วๆไปเข้าใจข่าวประเสริฐได้ชัดเจนขึ้น เช่น
- พระเจ้ามีจริง แม้ว่าเรามองไม่เห็น เพราะพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ แต่เราสามารถรู้ว่าพระเจ้ามีจริงได้โดยสังเกตจากสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงสร้างในธรรมชาติ
- พระเจ้าที่แท้จริงมีเพียงองค์เดียว พระองค์คือ ผู้ที่สร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งในโลกนี้ขึ้นมา พระองค์จึงไม่อยากให้เราเอาของที่พระองค์ทรงสร้างมาปั้นเป็นรูปนั้นรูปนี้ แล้วนำมากราบไหว้
- พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนทั้งโลก ไม่ใช่เป็นพระของฝรั่งเท่านั้น
- ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดที่ความตายเท่านั้น หลังความตายยังมีทางไปของวิญญาณอีกสองทางคือ สวรรค์และนรก
- สวรรค์ และนรกเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องของ “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” เท่านั้น
- มีข้อกำหนดของพระเจ้าไว้ว่า มนุษย์เราเกิดครั้งเดียวและตายครั้งเดียว ไม่มีชาตินี้ชาติหน้า หลังจากตายแล้วถ้าไปสวรรค์ก็ไปอยู่นิรันดร์ หากไปนรกก็ไปอยู่นิรันดร์ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
- การทำบาปในมาตรฐานของพระเจ้าคือ การกระทำ คำพูด หรือแม้แต่การคิดที่ไม่ถกต้องตามพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่เพียงแค่รักษาศีล ซึ่งเป็นการประพฤติภายนอกเท่านั้น เช่น ศีลข้อ 1 ห้ามฆ่า แต่พระเจ้าทรงถือว่า การทำร้าย การเอาเปรียบ หรือแม้แต่การเกลียดคนอื่นในใจก็เป็นบาป ศีลข้อ 2 ห้ามลัก
ทรัพย์ สำหรับพระเจ้าแล้วเพียงแต่มีใจโลภก็เป็นบาป ศีลข้อ 3 ห้ามประพฤติผิดในกาม สำหรับพระเจ้าแล้วเพียงแต่มีใจกำหนัดกับคนที่ไม่ใช่คู่สมรสก็บาป ศีลข้อ 4 ห้ามพูดโกหก สำหรับพระเจ้าการนินทาว่าร้าย ดูหมิ่นเหยียดหยามก็เป็นบาป ศีลข้อ 5 ห้ามดื่มสุราเมรัย สำหรับพระเจ้า การเสพทุกสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายก็ถือเป็นบาป
- ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราทำบาปน้อยหรือบาปมาก บาปเล็กหรือบาปใหญ่ สำหรับพระเจ้าแล้วพระองค์
ถือว่าเป็นคนบาปเหมือนกันหมด เพราะมาตรฐานของพระองค์คือความบริสุทธิ์ 100% เท่านั้น
- การทำดี ทำบุญทำทาน ฯลฯ ช่วยเราให้รอดพ้นจากความบาปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถทำดีได้ถึง
มาตรฐานของพระเจ้า และการทำดีในวันนี้ไม่สามารถจะไปหักลบกับความบาปที่เรามีอยู่เดิมได้ การไถ่โทษบาปของพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้น
- ไม่มีบาปอะไรที่ใหญ่เกินไป หรือร้ายแรงเกินไปจนพระเยซูทรงไถ่โทษบาปให้ไม่ได้
- การเชื่อพระเยซูไม่ได้เป็นการขายชาติ ไม่ได้เป็นทาสฝรั่ง พระเยซูสอนให้เราเป็นพลเมืองดี รักชาติ
รักพระมหากษัตริย์ เชื่อฟังกฎหมาย เสียภาษีอย่างซื่อสัตย์ ไม่หนีทหาร
- การเชื่อพระเยซูไม่จำเป็นต้องรอให้เราทำดีได้อย่างสมบูรณ์เสียก่อน เมื่อเราต้อนรับพระองค์เป็น
องค์พระผู้ช่วยแล้ว พระองค์จะประทานชีวิตใหม่แก่เรา แล้วเราจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเอง และยิ่งเราใกล้ชิดพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ เราก็จะยิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
2. เราอาจเริ่มเป็นพยานกับคนที่เรารู้จักก่อน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกครอบครัว เพื่อน หรือคนรู้จักก็ได้โดยให้เราเริ่มต้นด้วยการอธิษฐานเผื่อเขาอย่างสม่ำเสมอ ให้เขาเปิดใจออกต้อนรับพระเยซูคริสต์ อธิษฐานขอพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เราได้เป็นพยานกับเขา อธิษฐานขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรากล้าหาญและมีสติปัญญาในการเป็นพยาน หาโอกาสแสดงความรักต่อเขา สร้างความสัมพันธ์กับเขา หลังจากนั้นก็เริ่มเล่าถึงประสบการณ์ของเราที่ได้เชื่อพระเยซู และเล่าข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้เขาฟัง
3. ในการเป็นพยานต้องไม่แสดงอารมณ์โกรธ ความเบื่อหน่ายและรำคาญต่อผู้ที่เราเป็นพยานด้วย ไม่ว่าเขาจะตอบสนองอย่างไรก็ให้อดทน และแสดงความรักและความสุภาพอ่อนโยนเสมอ
4. อย่าใช้ท่าทีของการโต้วาทีเพื่อให้มีการแพ้ชนะ ควรทำให้เขาเห็นว่าเราอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา เข้าใจเขา และกำลังพยายามช่วยเขา
5. อย่ายกตัวเองว่าดีกว่าผู้ฟัง อย่าข่มผู้ฟัง จงแสดงความเห็นใจและเข้าใจผู้ฟัง รับฟังปัญหาของเขา
6. ไม่พูดพาดพิงความเชื่อเดิมของผู้ฟังในเชิงดูหมิ่น แต่ให้ยกย่องพระเยซูไว้
7. ไม่เอาแต่พูดฝ่ายเดียว รู้จักฟังเขาด้วย ไม่ใช่วิธีแบบเทศนา จงรู้กาลเทศะและพูดอย่างเป็นธรรมชาติ
8. เราควรเป็นผู้นำในการสนทนา อย่าสนทนาไปเรื่อยโดยไม่มีทิศทาง อย่าให้ผู้ฟังชวนคุยจนออกนอกประเด็น ควรนำการสนทนาไปตามเนื้อหาข่าวประเสริฐจนจบ จนกระทั่งถึงการเชิญชวน
9. ในการเป็นพยานควรทำความเข้าใจพื้นฐานวัฒนธรรมของผู้ฟัง และพยายามปรับเนื้อหาให้เข้าใจง่ายสำหรับผู้ฟังแต่ละคน ควรพิจารณาว่าคำศัพท์คำไหนที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ เนื่องจากคำศัพท์นั้นไม่มีในวัฒนธรรมของเขา หรืออาจมีแต่ความหมายคนละอย่างกับที่เราตั้งใจจะสื่อสาร เราก็ควรปรับเปลี่ยนถ้อยคำ หรืออธิบายความหมายให้ชัดเจน โดยอาจเอาคำที่มีความหมายทำนองเดียวกันในวัฒนธรรมเดิมของผู้ฟังมาใช้
ตัวอย่างคำที่คนไทยโดยทั่วๆไปไม่ค่อยเข้าใจ เช่น “ความรอด” อาจใช้คำว่า การ “รอดพ้นจากบาปและรอดพ้นจากนรก” หรือ “พ้นกรรม” คำว่า “มาร” อาจใช้คำว่า “เจ้าแห่งความบาป” คำว่า “ไถ่บาป” อาจใช้คำว่า “ชดใช้กรรม” คำว่า “เชื่อพระเยซู” อาจใช้คำว่า “ยอมให้พระเยซูเป็นเจ้าชีวิต” คำว่า “ชีวิตนิรันดร์”อาจใช้คำว่า “ชีวิตที่ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไปบนสวรรค์ ไม่ต้องตกนรก”
10. หลีกเลี่ยงการพูดถึงเนื้อหาที่ไม่จำเป็นและเข้าใจยาก เพราะจะทำให้เขาสับสนและมีข้อสงสัยโดยไม่จำเป็น หลายสิ่งเขาจะได้เรียนรู้และเข้าใจเองภายหลังเมื่อเขาต้อนรับพระเยซูแล้ว เช่น เรื่องตรีเอกานุภาพ รายละเอียดเรื่องการทรงเนรมิตสร้างโลก เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น