วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

รูปแบบในการประกาศข่าวประเสริฐ

8. รูปแบบในการประกาศข่าวประเสริฐ
ข่าวประเสริฐนั้นมีเนื้อหาเดียว แต่รูปแบบการนำเสนอหรือการประกาศนั้นทำได้หลายรูปแบบ พระคัมภีร์ใหม่บันทึกการประกาศหลายรูปแบบ ในประวัติศาสตร์คริสตจักรก็ได้พัฒนารูปแบบการประกาศเพิ่มขึ้นอีกมาก จนถึงปัจจุบันก็ยังมีรูปแบบใหม่ๆมากขึ้นเรื่อยๆ เราควรสนใจเรียนรู้รูปแบบวิธีเหล่านี้เพื่อมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของเรา รูปแบบที่นิยมใช้กันอยู่มีดังต่อไปนี้คือ
  1. การเป็นพยานส่วนตัว อาจเป็นพยานกับคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว หรือไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เป็น
การสร้างความสัมพันธ์ เล่าเนื้อหาข่าวประเสริฐ เล่าคำพยานชีวิต เชิญชวนให้ตอบสนอง อธิษฐานเผื่อปัญหาของเขา ชวนเขาไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรหรือกลุ่มสามัคคีธรรม
  1. การประกาศผ่านงานประชุมใหญ่ เป็นการจัดการประชุมใหญ่ มีการแสดงที่น่าสนใจ มีนักเทศน์
และผู้เป็นพยานที่มีความสามารถ จากนั้นก็ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนผู้คนมาฟัง แล้วก็เชิญชวนให้ตอบสนอง
  1. การประกาศผ่านทางกลุ่มย่อย เช่น จัดกลุ่มสามัคคีธรรมของคริสเตียน แล้วเชิญคนไม่เป็นคริส
เตียนมาเข้าร่วมกลุ่ม หรืออาจทำกับกลุ่มคนที่ไม่เป็นคริสเตียนล้วนๆก็ได้ มีการจัดกิจกรรมของกลุ่มให้น่าประทับใจและสนุกสนาน ประกาศกับผู้ที่มาเข้าร่วมกลุ่ม ด้วยการเป็นพยาน ศึกษาพระคัมภีร์ การถามและตอบ อาจมีการใช้บทเรียน หรือดูวีซีดีประกอบ
4. การประกาศผ่านทางสื่อ มีสื่อหลายประเภทที่เราเลือกใช้ได้
(1) คำพูดและชีวิตที่ดีงามและแสดงความรักต่อผู้คน
(2) เอกสาร เช่น ใบปลิว เอกสาร บทเรียน จดหมาย ที่คั่นหนังสือ ปฏิทิน หนังสือ หนังสือการ์ตูน รูปภาพ หนังสือพิมพ์ บทเรียนทางไปรษณีย์ ฯลฯ
(3) การแสดง เช่น ละคร เพลง ดนตรี งานศิลปะ ฯลฯ
(4) ป้ายชนิดต่างๆ เช่น ป้ายใหญ่ตามถนน ป้ายเล็กตามอาคาร ป้ายนิทรรศการ ป้ายอิเลคทรอนิคส์ ฯลฯ
(5) สื่อเสียงหรือภาพ เช่น เทปคาสเส็ท เทปวิดีทัศน์ วีซีดีภาพยนตร์
(6) คลื่น เช่น สื่อวิทยุและโทรทัศน์
(7) โทรศัพท์ SMS
(8) อินเทอร์เน็ต
(9) อื่น ๆ
5. การประกาศผ่านทางการนมัสการของคริสตจักร เป็นการให้สมาชิกเชิญชวนสายสัมพันธ์ให้มาร่วมนมัสการที่คริสตจักรตามปกติ ให้เขาได้ประทับใจจากการต้อนรับที่อบอุ่น เพลงนมัสการที่ไพเราะและมีชีวิตชีวา คำเทศนาที่เข้าใจง่ายน่าสนใจและกระทบจิตใจผู้ฟัง หรือแม้แต่การเข้าชั้นรวีวารศึกษาที่เหมาะกับเขา
6. การประกาศผ่านทางการจัดกิจกรรมพิเศษ เป็นการจัดกิจกรรมพิเศษขึ้นมา เช่น งานคริสตมาส วาเลนไทน์ วันแม่ ค่าย งานสัมมนาอบรม คอนเสิร์ตการแสดง ฯลฯ แล้วให้สมาชิกเชิญชวนสายสัมพันธ์ให้มาร่วมงาน และประกาศกับเขา กิจกรรมพิเศษมีมากมายสามารถดูได้จากหัวข้อถัดไป

การประกาศผ่านสายสัมพันธ์
พระคัมภีร์กล่าวว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” (กจ.16:31) ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่า หากใครรับเชื่อแล้วครอบครัวของเขาจะรอดทันทีโดยอัตโนมัติ แต่หมายความว่า คนที่รับเชื่อจะสามารถมีอิทธิพลต่อคนในครอบครัวของเขา โดยให้มารับเชื่อและรับความรอดได้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนที่เขามีความสัมพันธ์สนิทสนมด้วยทั้ง
หมด เป็นที่ทราบกันดีว่าวิธีประกาศที่ได้ผลที่สุดคือ การประกาศผ่านทางสายสัมพันธ์เนื่องจากคนเราจะเชื่อถือไว้วางใจคนที่เรารู้จักดีอยู่แล้วมากกว่าคนแปลกหน้า ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากหรือมีความเสี่ยงมากเท่าใดก็ยิ่งต้องฟังคนที่รู้จักและไว้ใจมากขึ้นเท่านั้น ผู้คนมักจะรับฟังข่าวประเสริฐง่ายขึ้นหากได้รับฟังจากคนที่เขารู้จักไว้วางใจอยู่แล้ว และผู้คนก็มักจะยอมมาคริสตจักรง่ายขึ้นหากได้รับการชักชวนจากคนที่เขารู้จักไว้วางใจอยู่แล้ว
ในที่นี้เราจะเรียกการประกาศที่ผู้ประกาศมีความสัมพันธ์หรือรู้จักว่า “สายสัมพันธ์” สายสัมพันธ์ที่ทุกคนมีอยู่แล้วคือ ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อน ทั้งเพื่อนนักเรียนนักศึกษา เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมกิจกรรมต่างๆ เพื่อนร่วมสังคมผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกค้า เพื่อนของเพื่อน คนรู้จัก ฯลฯ
ประมาณกันว่าโดยทั่วไป คนแต่ละคนจะมีสายสัมพันธ์จากช่องทางเหล่านี้อยู่ประมาณ 20-50 คน แน่นอนว่าบางคนก็มากและน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ผู้ที่จะประกาศควรเขียนรายชื่อสายสัมพันธ์ของเราแต่ละคนออกมาจนหมด แล้วเริ่มอธิษฐานเผื่อและประกาศกับสายสัมพันธ์เหล่านี้ 
นอกจากนี้ สายสัมพันธ์ของเราแต่ละคนก็มีสายสัมพันธ์อีกคนละ 20-50 คนโดยเฉลี่ยเช่นกัน ฉะนั้นเมื่อเราเป็นพยานกับคนหนึ่งจนเขารับเชื่อ เราก็จะได้สายสัมพันธ์ของเขาเพิ่มอีก 20-50 คนทันที ซึ่งเราก็ต้องช่วยเหลือและร่วมมือกับผู้เชื่อใหม่คนนั้นที่จะประกาศกับสายสัมพันธ์ของเขาต่อไป หากเป็นเช่นนี้เราจะมีสายสัมพันธ์ต่อเนื่องไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลย การประกาศของเราจะมีประสิทธิภาพมาก
หากไหลตามสายสัมพันธ์เช่นนี้ไปเรื่อยๆ
คริสเตียนหรือคริสตจักรที่มีสายสัมพันธ์มากย่อมมีช่องทางประกาศได้มาก เราจึงควรประกาศโดยไหลไปตามความสัมพันธ์ที่มีอยู่แล้ว และสร้างสายสัมพันธ์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย วิธีสร้างความสัมพันธ์ซึ่งนำไปสู่ประกาศมีมากมายหลายวิธี ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ใช้กันอยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบันในหลาย ๆ ประเทศ ได้แก่

วิธีสร้างความสัมพันธ์ซึ่งนำไปสู่ประกาศ
ทำแบบสำรวจความต้องการของชุมชน
วิธีนี้เหมาะมากในการเปิดความสัมพันธ์กับบุคคลทั่วไปที่เราไม่รู้จัก ทำได้โดยจัดทำแบบสอบถามแบบต่างๆ แล้วออกไปสอบถามข้อมูลจากคนในชุมชน เช่น ชุมชนมีพื้นฐานทางศาสนาเป็นอย่างไร มีความขาดแคลนและความต้องการเรื่องอะไร เคยได้ยินข่าวประเสริฐหรือไม่ สนใจเรียนรู้เรื่องของพระเจ้าหรือไม่
ตัวอย่างแบบสำรวจที่ใช่ได้ เช่น แบบสำรวจความต้องการบริการต่างๆ แบบสำรวจสุขภาพจิต แบบสำรวจคุณภาพชีวิต แบบสำรวจคุณภาพครอบครัวและการเลี้ยงดูบุตร แบบสำรวจทัศนคติเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษและชีวิตหลังความตาย แบบสำรวจเกี่ยวกับทัศนคติและระดับทางศีลธรรม แบบสำรวจเรื่องเป้าหมายชีวิต แบบสำรวจเกี่ยวกับปัญหาชีวิตด้านต่างๆ แบบสำรวจเกี่ยวกับทัศนคติทางศาสนา แบบสำรวจเกี่ยวกับรสนิยมด้านต่างๆ อาจเป็นด้านกีฬา ศิลปะ ดนตรีฯลฯ
การทำแบบสำรวจจะช่วยให้เรามีช่องทางพูดคุยกับผู้คนทั่วไปในชุมชนได้อย่างง่ายๆ ไม่เคอะเขิน ได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างสัมพันธ์ซึ่งจะนำไปสู่การประกาศต่อไป วิธีการสำรวจนี้ยังอาจทำให้เราได้รู้จักกับคริสเตียนเก่าที่ไม่ได้ไปคริสตจักรนานแล้ว คริสเตียนที่เพิ่งย้ายมา หรือคริสเตียนหลงหาย
ซึ่งเราก็สามารถนำเขาเข้าร่วมในคริสตจักรใหม่ได้ นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจจะทำให้เราเข้าใจความคิดและความสนใจของผู้คนมากขึ้น ส่งผลให้เราสามารถเลือกวิธีการประกาศที่เหมาะสมกับผู้คนได้มากยิ่งขึ้น

ไปเยี่ยมเพื่อทักทาย ทำความรู้จัก และเป็นพยาน
เป็นการเข้าไปเคาะประตูตามบ้านแล้วทักทาย แนะนำตัว และสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน รวมทั้งแจกใบปลิว หนังสือ หรือเทปเพื่อการประกาศให้เขาได้ศึกษา รวมทั้งอาจมีการทำแบบสอบถามตามที่กล่าวข้างต้นด้วยก็ได้ เมื่อมีความสัมพันธ์กันถึงระดับหนึ่งก็เป็นพยานกับเขา นอกจากนี้ยังสามารถขออนุญาตอธิษฐานเผื่อหรือขอพระพรให้กับครอบครัวนั้น รวมทั้งให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาตาม
หลักพระวจนะในปัญหาของครอบครัวนั้นๆด้วย การเยี่ยมเยียนและเป็นพยานนั้นไม่จำเป็นต้องทำที่บ้านเท่านั้น สามารถเป็นที่อื่นๆได้ด้วย เช่น ตามท้องถนนสวนสาธารณะ โรงพยาบาล เป็นต้น
หลังการเยี่ยมเยียนและเป็นพยาน แม้ว่าเขาอาจจะยังไม่รับเชื่อ แต่อย่างน้อยเราก็จะได้ความสัมพันธ์ ให้เราพัฒนาความสัมพันธ์นี้อย่างต่อเนื่องและลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จากที่ยังไม่รับเชื่อ ก็จะกลายเป็นเริ่มสนใจ เราก็สามารถชวนเขาให้เข้ากลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ร่วมกับเรา เมื่อเขาเข้าใจและมั่นใจถึงระดับหนึ่งก็สามารถตัดสินใจรับเชื่อได้

ให้บริการชุมชน
การให้บริการชุมชนจะเป็นช่องทางให้เราได้มีความสัมพันธ์กับผู้คนในชุมชนซึ่งจะนำไปสู่การประกาศได้ การให้บริการชุมชนทำได้หลายวิธี เช่น
(1) การสอน ไม่ว่าจะเป็นสอนภาษา สอนงานอาชีพ จัดติววิชา สอนเสริมหลักสูตร สอนดนตรี สอนศิลปะ สอนกีฬา สอนเรื่องการดูแลสุขภาพ สอนเรื่องครอบครัว สอนเพศศึกษา สอนเรื่องการบริหารการเงิน การบริหารงาน วิธีการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการจัดสอนและสัมมนาในเรื่องใดก็ได้ที่คนสนใจ
(2) การบริการชุมชน เช่น บริการล้างรถฟรี รับซ่อมบ้านฟรี เป็นอาสาสมัครช่วยดูแลคนไข้ในโรงพยาบาล จัดบริการให้คำปรึกษา บริการให้คำปรึกษาก่อนแต่งงาน ปัญหาครอบครัว บริการเรื่องใดก็ได้ที่ชุมชนมีความต้องการและสนใจ
(3) การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์และสงเคราะห์ อาจเปิดคลินิกรักษาพยาบาลฟรี หรือรักษาราคาประหยัด เลี้ยงอาหารคนยากจน แจกข้าวสารอาหารแห้ง ให้ทุนการศึกษาหรือทุนอาหารกลางวัน

สร้างมิตรภาพและความบันเทิง
คนทุกคนย่อมต้องการความรัก การยอมรับ และความสนุกสนานเพลิดเพลิน การจัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งมิตรภาพและความบันเทิงก็สามารถดึงดูดผู้คนให้มีความสัมพันธ์กับผู้ตั้งคริสตจักร ซึ่งจะนำไปสู่การประกาศต่อไป การสร้างมิตรภาพและความบันเทิงมีหลายวิธี เช่น
  1. การแสดง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงดนตรี แสดงละคร แสดงหุ่นกระบอก แสดงมายากล จัดฉายวีดีโอ วีซีดีภาพยนตร์ ฯลฯ
  2. การประกวดหรือแข่งขัน เช่น ประกวดร้องเพลง ประกวดการแสดง ประกวดบทความ ประกวดงานศิลปะ การแข่งกีฬา ฯลฯ
  3. การจัดงานปาร์ตี้หรืองานรื่นเริง เช่น จัดการละเล่นในงานวันคริสตมาส งานวาเลนไทน์ วันเด็ก วันสงกรานต์ วันปีใหม่ วันครอบครัว วันเกิด วันฉลองครบรอบวันแต่งงาน หรือแม้ไม่มีวันอะไรพิเศษก็จัดเป็นวันมิตรภาพได้
ช่องทางอื่นๆ
ยังมีอีกหลายวิธีที่เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนในชุมชนได้ วิธีที่มีผู้ใช้กันอยู่ เช่น
  • เยี่ยมเยียนอธิษฐานเผื่อ
  • ไปร้องเพลงคริสตมาสตามบ้านหรือสถานที่ต่างๆ
  • หาเพื่อนใหม่ๆ
  • ทักทายผู้คน
  • เปิดร้านเสริมสวยหรือร้านตัดผม
  • ถ่ายรูปฟรี
  • อธิษฐานรักษาโรคและขับผี
  • จัดรายการวิทยุโทรทัศน์
  • บริจาคเสื้อผ้าและของเล่นใช้แล้ว
  • ทำกิจกรรมสำหรับเด็ก
  • จัดการประกาศใหญ่
  • เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของชุมชน
  • ร่วมเล่นกีฬา หรือเข้าชมรมกีฬา
  • ร่วมร้องคาราโอเกะ
  • จัดค่าย ทัศนศึกษา ทัศนาจร
  • จัดชมรมเจ้าของบ้าน ชมรมแม่บ้าน
  • ฉายวีดีโอตามบ้าน
  • จัดเต้นแอโรบิค
  • แข่งหมากรุกหมากฮอร์ส
  • ตั้งชมรมบำเพ็ญประโยชน์
  • ตั้งชมรมดนตรี ละคร หรือเต้นรำ
  • ตั้งชมรมศิลปะ
  • แสดงหุ่นกระบอก
  • กลุ่มแนะแนวการเรียน
  • กลุ่มกินสุกี้ยากี้-หมูย่าง
  • ประกาศตามถนนโดยมีภาพประกอบ
  • จัดปิคนิก
  • ตั้งศูนย์พัฒนาชุมชน
  • ตั้งโรงเรียนหรือโรงพยาบาลคริสเตียน
  • รับสมัครเรียนพระคัมภีร์ทางไปรษณีย์
  • จัดนิทรรศการให้ความรู้เรื่องคริสเตียนและข่าวประเสริฐ
  • ให้ยืมเทปเพลงคริสเตียนหรือคำสอนคำเทศนาไปฟัง
  • เปิดศูนย์สันทนาการ ศูนย์พัฒนาชีวิต หรือศูนย์จัดหางาน
  • ไปร่วมงานฉลองต่างๆของคนในท้องถิ่น โดยนำอาหารไปร่วมด้วย
  • สมัครเข้าเป็นสมาชิกชมรมหรือสมาคมต่างๆของชุมชน
  • ทำความสะอาดถนนเพื่อเป็นการบริการชุมชนและทำความรู้จักผู้คน
  • ตั้งกลุ่มช่วยเหลือต่างๆ เช่น กลุ่มช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด ผู้ติดสุรา
  • เป็นอาสาสมัครช่วยสอนในโรงเรียน
  • ฯลฯ
วิธีต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นไม่ว่าเราจะเลือกวิธีไหนก็ตาม สิ่งที่เราต้องตระหนักเสมอคือ ประการแรก การนำวิธีต่างๆเหล่านี้ไปใช้ ต้องประยุกต์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของเรา
ประการที่สอง ไม่มีวิธีใดดีที่สุดเพียงวิธีเดียว แต่ละวิธีล้วนมีจุดแข็งและจุดอ่อน เราจึงควรเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับคนในพื้นที่ กลุ่มบุคคลเป้าหมาย และเหมาะกับเราและทีมงานที่จะสามารถทำได้ด้วย ฉะนั้น จึงควรใช้หลายๆวิธีประกอบกันเพื่อให้จุดแข็งของวิธีหนึ่งไปเสริมจุดอ่อนของอีกวิธีหนึ่ง 

ประการสุดท้าย ควรคิดสร้างสรรค์วิธีใหม่ๆขึ้นมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ ผู้คนในแต่ละสังคมมีความหลากหลายในวิถีชีวิต อีกทั้งสังคมก็มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ฉะนั้น วิธีการและรูปแบบการประกาศจึงต้องมีการคิดวิธีใหม่ตามความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงของสังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น