3. จริยธรรมในการประกาศข่าวประเสริฐ
ในการประกาศข่าวประเสริฐ เราต้องมีจริยธรรม จริยธรรมในการประกาศที่พระคัมภีร์บอกชัดเจนมีสี่ประการคือ ประกาศโดยไม่บิดเบือนข่าวประเสริฐ ประกาศโดยไม่หวังผลประโยชน์ ประกาศโดยไม่คิดแข่งขันเพื่อชื่อเสียงของตน และประกาศโดยไม่ใช้การบีบบังคับ
ประกาศโดยไม่บิดเบือนข่าวประเสริฐ
พระคัมภีร์กล่าวว่า “ความจริงข่าวประเสริฐอื่นไม่มี แต่ว่ามีบางคนที่ทำให้ท่านยุ่งยาก และปรารถนาที่จะบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แม้แต่เราเองหรือทูตสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าพูดอีกว่า ถ้าผู้ใดประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน ที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งท่านได้รับไว้แล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกแช่งสาป” (กท.1:7-8) ท่านเปาโลกล่าวเช่นนี้เพื่อบอกว่า ข่าวประเสริฐมีข่าวประเสริฐเดียว และเราต้องประกาศสาระของข่าวประเสริฐนี้อย่างถูกต้อง ไม่บิดเบือน
การประกาศต้องไม่ใช่วิธีบิดเบือนพระวจนะเพื่อให้คนมาเชื่อพระเยซูง่ายขึ้นหรือบิดเบือนข่าวประเสริฐเพื่อให้ฟังดูฉลาด หรือทำให้สอดคล้องกับความคิดของโลกมากขึ้น เปาโลกล่าวว่าท่านยืนหยัดประกาศข่าวประเสริฐโดยเน้นเรื่อง “กางเขน” หมายถึงเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อไถ่บาปมนุษย์ และจะไม่ยอมบิดเบือนไปเป็นอย่างอื่น โดยอาศัยความฉลาดและสติปัญญา ท่านกล่าวถึงการประกาศของ
ท่านว่า “...มิใช่ด้วยขั้นเชิงอันฉลาดในการพูด เกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช” (1 คร.1:17) ท่านไม่ยอมบิดเบือนสาระของข่าวประเสริฐแม้ว่าผู้ฟังอาจจะเยาะเย้ยว่าเป็น “เรื่องโง่” ดังที่ท่านกล่าวว่า “คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า” (1 คร.1:18 อ่านเพิ่มเติมใน 1 คร.1:21-24; 2:1-8)
เราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอข่าวประเสริฐให้เหมาะกับผู้คนหรือเหมาะกับยุคสมัยได้ แต่แก่นสาระแห่งข่าวประเสริฐนั้นเราไม่อาจปรับเปลี่ยนได้
ประกาศโดยไม่หวังผลประโยชน์
พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกเมื่อทรงใช้พวกเขาให้ออกไปประกาศว่า “จงไปพลางประกาศพลางว่า ‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’ จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ” (มธ.10:7-8) การที่พระองค์กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ” หมายความว่า พระองค์ไม่ประสงค์ให้สาวกของพระองค์ถือว่าการประกาศข่าวประเสริฐและการทำพันธกิจทั้งหลายเป็นเหมือนงานที่พวกเขามีสิทธิ์เรียกร้องค่าจ้างหรือค่าตอบแทน แต่ทำเพราะเป็นสิ่งที่สมควรทำ
ท่านเปาโลกล่าวถึงท่าทีในการประกาศของท่านเองว่า “แต่ว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบข่าวประเสริฐไว้ที่เรา เราจึงประกาศไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจเรา เพราะว่าเราไม่ได้ใช้คำยกยอใดๆเลย ซึ่งท่านก็รู้อยู่ หรือมิได้ใช้คำพูดเคลือบคลุมเพื่อความโลภเลย พระเจ้าทรงเป็นพยานฝ่ายเรา” (1 ธส.2:4-5) ท่านไม่ได้ประกาศโดยมุ่งให้คนพอใจเพื่อหวังเงินทองจากพวกเขาเลย
การได้รับเงินสนับสนุนเพื่อการประกาศไม่ใช่ความผิด แต่เราต้องไม่ประกาศโดยมีเจตนาหวังทรัพย์สินเงินทองเป็นที่ตั้ง
ประกาศโดยไม่คิดแข่งขันเพื่อชื่อเสียงของตน
ท่านเปาโลกล่าวถึงบางคนที่ประกาศด้วยแรงจูงใจผิดๆ เช่นนี้ไว้ว่า “ความจริงมีบางคนประกาศพระคริสต์ด้วยจิตใจริษยาและทุ่มเถียงกัน แต่ก็มีคนอื่นที่ประกาศด้วยใจหวังดี ฝายหนึ่งประกาศพระคริสต์ด้วยใจรัก โดยรู้แล้วว่าทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ให้กล่าวแก้เพื่อข่าวประเสริฐนั้น แต่ฝายหนึ่งประกาศด้วยการแข่งดีกัน ไม่ใช่ด้วยใจสุจริต จงใจจะเพิ่มความทุกข์ลำบากแก่ข้าพเจ้าในการถูกจำจอง” (ฟป.1:15-17) อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าท่านจะไม่เห็นด้วยและทุกข์ใจกับท่าทีเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นท่านก็กล่าวว่า “...แม้เขาจะประกาศพระคริสต์ด้วยประการใดก็ตาม จะเป็นด้วยการแกล้งทำก็ดีหรือด้วยใจจริงก็ดี แต่เขาก็ได้ประกาศพระคริสต์ ในการนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดี” (ฟป.1:18)
ท่านเปาโลเป็นแบบอย่างที่ดีในการประกาศโดยไม่หวังเกียรติหรือศักดิ์ศรีจากผู้คนเลย ท่านกล่าวว่า “และแม้ในฐานะเป็นอัครทูตของพระคริสต์ เราจะเรียกร้องก็ได้ แต่เราก็ไม่แสวงหาศักดิ์ศรีจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากท่านหรือจากคนอื่น” (1 ธส.2:6)
ประกาศโดยไม่บีบบังคับ
พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์รักและเชื่อฟังพระองค์ ถึงกระนั้นก็ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ ความจริงเรื่องนี้เราเห็นได้ตั้งแต่ครั้งปฐมกาลที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ในสวนเอเดน ทรงให้มนุษย์มีสิทธิ์เลือกว่าจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังพระองค์ก็ได้ โดยใช้การห้ามกินผลจากต้นแห่งความสำนึกดีและชั่วเป็นตัวชี้วัด (ปฐก.3) พระเจ้าทรงให้มนุษย์มีสิทธิ์เลือกพระองค์ โดยที่หากมนุษย์ไม่เลือกพระองค์ มนุษย์ก็ต้องรับผิดชอบต่อผลร้ายที่จะเกิดขึ้นเอง ฉันใดก็ฉันนั้น การประกาศข่าวประเสริฐก็ต้องกระทำโดยการจูงใจ มิใช่บังคับจิตใจ การประกาศของเปาโลในธรรมศาลาที่เมืองเอเฟซัส พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ชักชวนให้เชื่อ” (กจ.19:8)
มีหลายครั้งที่พระเยซูตรัสให้ผู้ที่จะเป็นสาวกของพระองค์ทราบล่วงหน้าก่อนว่า พวกเขาต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากอะไรบ้าง และจะได้รับผลประโยชน์อะไรบ้างจากการติดตามพระองค์ พระองค์ตรัสกับบางคนที่มาแสดงความจำนงค์จะติดตามพระองค์ว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศก็ยังมีรัง” แต่พระองค์เองกลับ “ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” (ลก.9:58) เป็นการบอกให้เขาตัดสินใจอย่างแน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง พระองค์บอกกับคนจำนวนมากที่ติดตามพระองค์ให้คิดให้ดีว่า “ถ้าผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลก.14:26-27) พระองค์ตรัสให้พวกเขาคำนวณผลได้ผล
เสียจากการเป็นสาวกของพระองค์ให้ดี โดยเปรียบเทียบว่า “ด้วยว่าในพวกท่านมีผู้ใดเมื่อปรารถนาจะสร้างตึก จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่ เกรงว่าเมื่อลงรากแล้ว และกระทำให้สำเร็จไม่ได้ คนทั้งปวงที่เห็นจะเยาะเย้ยเขาว่า ‘คนนี้ตั้งต้นก่อ แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’” (ลก.14:28-31)
ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูไม่ได้ประกาศโดยใช้วิธีบีบบังคับผู้ใด ทุกคนที่ติดตามพระองค์ล้วนแต่มีสิทธิ์เลือก และพวกเขายืนยันที่จะติดตามพระองค์ด้วยความสมัครใจทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น